แบบฝึกหัดก่อนเรียน
1. ข้อใดมิใช่การจัดรูปแบบตัวอักษร
ก. การเลือกชนิดของฟอนต์
ข. การกำหนดขนาดของฟอนต์
ค. การปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษร
ง. การจัดระยะกั้นหน้า
2. ข้อใดมิใช่การเรียกใช้ไดอะล็อกบ็อกซ์ Font
ก. กดปุ่ม <Ctrl>+ D
ข. คลิกเมาส์ขวาเพื่อเรียกใช้เมนูลัดและเลือกคำสั่ง Font
ค. กดปุ่ม <shift>+ F9
3. ค่าเริ่มต้น (Default) ของฟอนต์ เมื่อสร้างเอกสารใหม่โดยใช้เทมเพลตปกติ คือ
ก. Times New Roman
ข. Cordia UPC
ค. Angsana UPC
ง. Browallia UPC
4. เราสามารถเรียกใช้งานฟอนต์ตัวอักษรที่เราเคยเรียกใช้งานครั้งล่าสุดเป็นจำนวนเท่าใด
ก. 3 ฟอนต์
ข. 4 ฟอนต์
ค. 6 ฟอนต์
ง. 8 ฟอนต์
5. การเปลี่ยนฟอนต์ตัวอักษรที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด ทำได้โดย
ก. ใช้คำสั่งลัด (Shortcut Keys)
ข. ใช้ไดอะล็อกบ็อกซ์ Font
ค. คลิกที่ลิสต์บ็อกซ์
ง. ใช้แป้นพิมพ์โดยกดปุ่ม <Alt> + F
6. ข้อใดมิใช่การทำตัวขีดเส้นใต้ในโปรแกรม Word 2003
ก. ขีดเส้นใต้คำเท่านั้น
ข. ขีดเส้นใต้แบบ 2 จุดสลับจุดไข่ปลา
ค. ขีดเส้นใต้แบบเส้นคู่
ง. ขีดเส้นใต้แบบจุด
7. การสร้างตัวอักษรแรกปล่อย (Drop Cap) นิยมใช้ในงานทางด้านใด
ก. รายงานทางวิชาการ
ข. จดหมายต่าง ๆ
ค. วารสารหรือนิตยสาร
ง. ถูกทุกข้อ
8. คำสั่งลัด (shortcut keys) ที่ใช้ในการกำหนดตัวหนาเอียง คือ
ก. <Ctrl> + B และ <Ctrl> + 1
ข. <Ctrl> + U และ <Ctrl> + 1
ค. <Ctrl> + <Shift> + W
ง. <Ctrl> + <Shift> + D
9. ถ้าต้องการกำหนดสีของตัวอักษรต้องเลือกไอคอนใด
ก. Font Color
ข. Line Color
ค. Highlight
ง. Fill Color
10. คำสั่งในข้อใดมีความหมายเหมือนกับการกดปุ่ม <Ctrl> + C
ก. Copy
ข. Cut
ค. Paste
ง. Edit
หน่วยที่ 3 การจัดแต่งเอกสาร
เน้นข้อความให้ดูแตกต่าง
ข้อความหรือคำบางคำ บางครั้งอาจต้องการเน้นให้ดูแตกต่างจากข้อความอื่น ๆ ในย่อหน้าเดียวกันก็ทำได้โดยการทำเป็นตัวหนา เอียง หรือมีเส้นใต้ขีด ดังนี้
เปลี่ยนสีข้อความ
ข้อความที่ถูกป้อนปกติจะเป็นสีดำ แต่ถ้ามีเครื่องพิมพ์สี หรือส่งเอกสารเป็นเมล์ไปให้ผู้อื่นเปิดอ่าน ก็อาจเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มสีสันและความน่าสนใจให้กับเอกสาร
1. เลือกข้อความ
2. คลิกเปิดตารางสี
3. คลิกเลือกสี
4. ถ้ายังไม่มีสีที่ถูกใจให้คลิก More Colors เพื่อเลือกสีอื่น
5. คลิกเลือกสี
6. คลิกปุ่ม OK
เปลี่ยนฟอนต์และขนาดตัวอักษร
ฟอนต์มีหลายแบบด้วยกัน ให้ดูที่ชื่อฟอนต์ ถ้าลงท้ายด้วย New UPC (มาพร้อม Office) หรือขึ้นต้นด้วย PSL,JS,DB ใช้ได้กับภาษาไทยและอังกฤษ เช่น Angsana UPC ส่วนฟอนต์อื่น ๆ เช่น Arial
จะใช้ได้กับภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งหากใช้ฟอนต์ไม่ตรงกับภาษาโปรแกรมก็จะไม่เปลี่ยนให้ สำหรับวิธีเปลี่ยนฟอนต์ในหัวข้อนี้ จะใช้กับข้อความที่เป็นภาษาไทย ถ้าจะเปลี่ยนฟอนต์ให้กับข้อความภาษาอังกฤษ ให้เปลี่ยนด้วยคำสั่ง ดูในหัวข้อถัดไป
1. เลือกข้อความที่ต้องการ
2. แสดงรายชื่อของฟอนต์ด้วยการคลิกปุ่มข้างช่อง Font (แบบอักษร)
3. คลิกเลือกชื่อฟอนต์ที่ต้องการ (จะแสดงตัวอย่างของฟอนต์แต่ละแบบด้วยชื่อฟอนต์เอง)
4. คลิกปุ่ม ข้างช่อง Size เพื่อแสดงขนาดของฟอนต์แล้วเลือกขนาดที่ต้องการหรือใช้วิธีการกรอกขนาดที่ต้องการลงในช่อง Size เลยก็ได้
เปลี่ยนฟอนต์ด้วยคำสั่ง
โดยปกติเมื่อเริ่มเปิดเอกสาร Word จะกำหนดให้ข้อความภาษาไทยใช้ฟอนต์ Angsana New ส่วนภาษาอังกฤษใช้ Time New Roman ซึ่งการเปลี่ยนฟอนต์ให้กับข้อความที่เป็นภาษาอังกฤษ ทำได้ดังนี้
1. เลือกข้อความที่ต้องการ
3. คลิกที่ปุ่มลูกศรช่อง Latin Text (ข้อความละติน) แล้วคลิกฟอนต์ที่ต้องการ ถ้าฟอนต์ที่ต้องการไม่มีให้เลือก ให้เลือกฟอนต์ที่ช่อง Complex scripts (ภาษาไทยและภาษาอื่น ๆ ) เสียก่อนแล้วก็อปปี้ชื่อฟอนต์นั้นมาไว้ในช่อง ช่อง Latin Text (ข้อความละติน)
4. คลิกปุ่ม OK
ปรับระยะห่างตัวอักษร และทำตัวยก-ตัวห้อย
ปกติตัวอักษรในแต่ละแบบจะมีระยะห่างระหว่างตัวอักษรที่แน่นอน แต่บางครั้งอาจแคบเกินไป ก็สามารถปรับให้ห่างออกได้ ดังนี้
1. เลือกข้อความที่จะปรับระยะห่างตัวอักษร
3. คลิกแท็บ Character Spacing (ระยะห่างตัวอักขระ)
4. ที่ช่อง Spacing (ระยะห่าง) คลิกที่ปุ่ม แล้วเลือกประเภทระยะห่างดังนี้
§ Normal ระยะปกติเดิมซึ่งเป็นค่าพื้นฐาน
§ Condensed จะบีบระยะห่างระหว่างตัวอักษรเข้ามาตามระยะที่กำหนดในช่องขนาด
§ Expand จะขยายระยะห่างระหว่างตัวอักษรออกตามระยะที่กำหนดในช่องขนาด
5. คลิกปุ่ม OK
วิธีใส่สัญลักษณ์แปลก ๆ
ฟอนต์บางฟอนต์ไม่แสดงเป็นตัวอักษร แต่จะแสดงเป็นรูปภาพหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ แทน เช่น
ที่มักใช้กับคำว่า Copyright เพื่อบอกว่าเอกสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของใคร
แม้ว่าจะเป็นรูปภาพ แต่เวลาก็อปปี้ ลบ หรือจัดรูปแบบให้กับสัญลักษณ์เหล่านี้ มีขั้นตอนเหมือนกับการตกแต่งตัวอักษรที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อต่าง ๆ ข้างต้น
1. คลิกตรงตำแหน่งที่จะแทรกสัญลักษณ์พิเศษ
3. บนแท็บ Symbols คลิกปุ่ม ข้างช่อง Font เพื่อแสดงรายชื่อฟอนต์ ให้คลิกเลือกฟอนต์ที่ต้องการ ฟอนต์ที่ใช้งานบ่อย ๆ ก็มี Wingdings, Webdings, Symbol ฯลฯ
4. คลิกสัญลักษณ์ที่จะใช้
5. คลิกปุ่ม Insert เพื่อแทรกสัญลักษณ์ที่เลือกไว้
6. คลิกปุ่ม หรือ close เพื่อปิด
เปลี่ยนตำแหน่งกั้นหน้าและกั้นหลัง
สำหรับข้อความที่ป้อนเข้าไปในแต่ละย่อหน้านั้นจะเริ่มที่ตำแหน่งกั้นหน้าและจบที่กั้นหลัง สังเกตจากไม้บรรทัดด้านบนของจอ นอกจากนี้ กั้นหน้ายังใช้ระบุว่าบรรทัดแรกของย่อหน้าจะมีพฤติกรรมที่ต่างจากบรรทัดอื่น ๆ อย่างไร เช่น ให้รันอยู่ร่นเข้าไปหรืออยู่ยื่นออกมามากกว่าบรรทัดอื่น ดังนี้
1. คลิกเมาส์ในย่อหน้าที่ต้องการตั้งกั้นหน้า หรือคลิกเลือกหลาย ๆ ย่อหน้า
3. คลิกลากเมาส์ที่ (ด้านหลัง) ไปวางในตำแหน่งที่ต้องการจะมีแนวเส้นประแสดงขึ้น เพื่อแสดงตำแหน่งของกั้นหลังบนตัวเอกสาร
จัดย่อหน้าตรงแนวกั้น
เป็นการกำหนดข้อความในย่อหน้าให้ชิดริมด้านซ้ายหรือขวา หรือจะให้เสมอกันทั้งสองด้านเลย โดยมีวิธีการดังนี้
1. คลิกเมาส์บนย่อหน้าที่ต้องการ หรือคลิกเลือกหลายย่อหน้า
2. คลิกปุ่มเพื่อจัดย่อหน้า
Align Left (จัดชิดซ้าย) : จัดข้อความให้อยู่ชิดซ้าย โดยด้านซ้ายของทุก ๆ บรรทัดตรงกับกั้นหน้า ปล่อยด้านขวาเป็นอิสระ
Center (กึ่งกลาง) : จัดข้อความให้อยู่กึ่งกลางระหว่างกั้นหน้าและกั้นหลัง
Align Right (จัดชิดขวา) : จัดข้อความให้อยู่ชิดขวา โดยด้านขวาของทุก ๆ บรรทัดตรงกับกั้นหลัง ปล่อยด้านซ้ายอิสระ
Justify (ชิดขอบ) : จัดข้อความเสมอทั้งซ้ายและขวาตรงตำแหน่งกั้นหน้าและกั้นหลัง เหมาะกับเอกสารที่เป็นทางการ หรือแบ่งเป็นคอลัมน์เหมือนหนังสือพิมพ์ โดย Word จะเติมช่องว่างระหว่างประโยคให้
Distributed (กระจาย) : คล้ายกับแบบชิดขอบโดยจัดข้อความเสมอทั้งซ้ายและขวาและเพิ่มช่องว่างระหว่างตัวอักษร นอกเหนือจากการเพิ่มช่องว่างระหว่างประโยคทำให้ดูสวยงามขั้น ใช้กับภาษาไทยโดยเฉพาะ
ในการเริ่มต้นพิมพ์ข้อความ อาจใช้วิธี Click and Type คือดูที่เมาส์ ถ้าเลื่อนไปทางขวามาก ๆ จะเป็น ก็ดับเบิลคลิกเพื่อป้อนข้อความและจัดย่อหน้าชิดขวาไปพร้อม ๆ กัน
ปรับช่องว่างระหว่างบรรทัดและย่อหน้า
การปรับระยะห่างระหว่างบรรทัดและย่อหน้านั้น ช่วยให้เอกสารนั้นอ่านได้สบายตาขึ้น โดยส่วนใหญ่จึงมักจะปรับระยะห่างระหว่างย่อหน้าให้กว้างกว่าระยะห่างระหว่างบรรทัดปกติ นอกจากนี้เอกสารที่มีรูปแทรกอยู่นั้น ถ้าขนาดของรูปสูงกว่าตัวอักษรที่อยู่ในบรรทัดเดียวกัน ก็ต้องปรับระยะห่างระหว่างบรรทัดให้มากขึ้น เพื่อให้รูปนั้นสามารถแสดงอยู่ในบรรทัดนั้นได้ เช่น ปรับเป็น 1.5 Lines เพื่อขยายระยะบรรทัดเป็นไปตามขนาดรูป
1. คลิกเมาส์ในย่อหน้าที่ต้องการ หรือคลิกวากเมาส์ให้คลุมหลายย่อหน้า
2. คลิกขวาบนย่อหน้าที่เลือกไว้แล้วเลือกคำสั่ง Paragraph (ย่อหน้า)
3. บนแท็บ Indents and Spacing (การเยื้องและระยะห่าง) ระบุระยะห่างระหว่างย่อหน้าในกลุ่ม Spacing (ระยะห่าง)
§ Before (ก่อนหน้า) : กำหนดระยะที่จะให้ห่างจากย่อหน้าก่อนหน้านี้เป็นเท่าไหร่
§ After (หลังจาก) : กำหนดระยะที่จะให้ห่างจากย่อหน้าถัดไปเป็นเท่าไหร่
4. ระบุความสูงของแต่ละบรรทัดในช่อง Line Spacing (ระยะห่างบรรทัด)
§ Single (1 บรรทัด) ความสูงเป็น 1 บรรทัดปกติ ตามความสูงของอักษรหรือรูปภาพที่อยู่
ในบรรทัดนั้น
§ 1.5 Lines (1.5 บรรทัด) ความสูงเป็น 1.5 เท่าของบรรทัดปกติ เพิ่มความสูงอีกครึ่งเท่า
ของความสูงปกติ
§ Double (2 บรรทัด) ความสูงเป็น 2 เท่าของบรรทัดปกติ เพิ่มความสูงอีกเท่าตัว มักใช้
เมื่อต้องการพื้นที่ในการขีดเขียนแก้ไขข้อความในเอกสาร
§ At least (อย่างน้อย) อย่างน้อยต้องห่างเท่ากับค่าที่กำหนดในช่อง At (ขนาด) ถ้า Word
ลองคำนวณความสูงให้แล้วน้อยกว่านี้ จะได้ค่านี้แทน
§ Exactly (ค่าแน่นอน) กำหนดความสูงเท่ากับค่าที่อยู่ในช่อง At (ขนาด) ถ้าตัวอักษรใด
สูงเกินก็จะแหว่งหายไป ถ้าใช้ฟอนต์ภาษาไทยควรเพิ่มอย่างน้อยอีก 2 พอยต์ จากขนาดตัวอักษร
§ Multiple (หลายบรรทัด) ความสูงที่สูงเป็นจำนวนเท่าของบรรทัดที่กำหนด เช่น 3
บรรทัด (คือความสูงเป็น 3 เท่าของปกติ)
5. คลิกปุ่ม OK
ตีเส้นกรอบและแรเงา (Border & Shading)
ตีเส้นจากแถบเครื่องมือ Tables and Borders
1. คลิกเมาส์ในย่อหน้าที่จะตีกรอบ หรือคลิกลากเมาส์ให้คลุมย่อหน้าที่ต้องการ
2. คลิกปุ่ม เพื่อแสดงแถบเครื่องมือ Tables and Borders
3. คลิกปุ่มลูกศร ๆ ข้างช่อง Line Style แล้วคลิกเลือกรูปแบบของเส้น
4. คลิกปุ่มลูกศร ๆ ข้างช่อง Line Weight แล้วคลิกเลือกความหนาของเส้น
5. คลิกปุ่มลูกศร ๆ ข้างปุ่ม Border Colors แล้วคลิกเลือกสีของเส้น
6. คลิกปุ่มลูกศร ๆ ข้างปุ่ม แล้วเลือกด้านที่จะตีเส้น ถ้าจะตีเส้นครั้งต่อไปด้วยแบบความหนาและสีที่เหมือนเดิม ก็ข้ามขั้นที่ 3-5
7. คลิกปุ่มลูกศรข้าง ๆ ปุ่ม Shading Color แล้วเลือกสีพื้นของย่อหน้าที่เลือกไว้
ตีเส้นและใส่สีจากคำสั่ง
1. คลิกเมาส์ในย่อนห้าที่จะตีกรอบ
3. คลิกแท็บ Borders (เส้นขอบ) เพื่อกำหนดลักษณะและขนาดของเส้น
4. คลิกแท็บ Shading (แรเงา) เพื่อเลือกสีหรือลวดลาย
5. คลิกปุ่ม OK
เส้นขอบหน้ากระดาษ
เส้นขอบหน้ากระดาษ หมายถึง เส้นขอบที่กำหนดให้กับทั้งหน้าเอกสาร ซึ่งอาจจะใช้ในกรณีที่ต้องการเน้นขอบกระดาษ เพื่อสร้างป้ายประกาศ หรือปกรายงาน จะทำให้เอกสารน่าสนใจมากขึ้น
2. คลิกแท็บ Page Borders (เส้นขอบหน้ากระดาษ) เพื่อกำหนดลักษณะและขนาดของเส้น สำหรับเส้นขอบหน้ากระดาษจะกำหนดได้ 2 แบบ คือ เส้นขอบปกติ ลักษณะต่าง ๆ และเส้นขอบแบบศิลป์ ซึ่งจะเป็นรูปภาพสวย ๆ ดังตัวอย่างในภาพ
3. คลิกเลือกการนำไปใช้ในช่อง Apply to
§ Whole document (ทั้งเอกสาร) แสดงเส้นขอบทุกหน้า
§ This section (ส่วนนี้) ใช้กับส่วนนี้เท่านั้น (ใช้คำสั่ง Insert break Section Break )
§ This section –First page only (ส่วนนี้-หน้าแรกเท่านั้น) แสดงเส้นขอบเฉพาะส่วนนี้หน้า
แรกหน้าเดียว
§ This section-All except first Page (ส่วนนี้-ทั้งหมดนอกจากหน้าแรก) แสดงเส้นขอบ
เฉพาะส่วนนี้ทุกหน้า ยกเว้นหน้าแรกหน้าเดียว
4. คลิกปุ่ม option เพื่อกำหนดออปชั่นขอบเขตของเส้นขอบ
§ Margin (ขอบกระดาษ) ระยะของขอบแต่ละด้าน
§ Measure (วัดจาก) วัดระยะเส้นขอบจาก
- Text (ข้อความ) ตีเส้นตามขอบเขตข้อความที่มี
- Edge of page (ขอบกระดาษ) ตีเส้นขอบกระดาษ
5. คลิกปุ่ม OK
การตั้งตำแหน่ง Tab
แท็บ (Tab) คือตำแหน่งที่เคอร์เซอร์จะย้ายไปอยู่ทันทีที่กดปุ่ม Tab มักใช้เพื่อจัดข้อความเป็นหลาย ๆ คอลัมน์ ในตำแหน่งที่ตรงกันพอดีโดยไม่ต้องเคาะวรรค ซึ่งปกติ Word จะตั้งแท็บที่ทุก ๆ ครี่งนิ้ว หรือ
1.27 ซม. แต่สามารถกำหนดตำแหน่งของแท็บใหม่ได้ และขณะเดียวกันก็ เลือกว่าจะให้ข้อความที่ตำแหน่งแท็บนั้นอยู่ชิดเสมอกับด้านใด (ดังรูปตัวอย่าง)
1. คลิกเลือกรูปแบบของแท็บที่มุมซ้ายของไม้บรรทัดให้เป็น (Left tab) (แท็บซ้าย)
2. คลิกเมาส์บนไม้บรรทัดตรงตำแหน่งที่จะตั้งแท็บ
3. ทำเหมือนขั้น 1-2 แต่ให้เลือกรูปแบบแท็บเป็น (Center tab) (แท็บกึ่งกลาง)
4. ทำเหมือนขั้น 1-2 แต่ให้เลือกรูปแบบแท็บเป็น (Right tab) (แท็บขวา)
5. ทำเหมือนขั้น 1-2 แต่ให้เลือกรูปแบบแท็บเป็น (Decimal tab) (แท็บจุดทศนิยม)
6. เริ่มกรอกข้อความ เช่นในบรรทัดแรกให้กด Tab , กรอกคำว่า “ชื่อบริการ” กด Tab, กรอก
คำว่า “เวลา (ชั่วโมง)” ,กด Tab, กรอกคำว่า “ค่าแรกเข้า” กด Tab, กรอกคำว่า “ค่าบริการ” แล้วกด Enter เพื่อขึ้นบรรทัดใหม่
7. ลองกรอกข้อความใหม่ในบรรทัดถัดไปตามตัวอย่าง สังเกตว่าข้อความในแต่ละคอลัมน์เป็นอย่างไร
เปลี่ยนตำแหน่งหรือยกเลิกแท็บที่ตั้งไว้
1. คลิกเมาส์ตรงตำแหน่งของแท็บบนไม้บรรทัด คลิกค้างไว้จนเห็นเส้นจาง ๆ
2. คลิกลากเมาส์ไปทางซ้ายหรือขวาบนไม้บรรทัดไปยังตำแหน่งใหม่ แล้วปล่อยเมาส์ แท็บที่ตั้งไว้จะหายไป
เติมเลขลำดับและบุลเลต
ใส่เลขลำดับและสัญลักษณ์
1. คลิกเมาส์ในย่อหน้าที่จะใส่เลขลำดับ หรือคลิกลากเมาส์ให้คลุมทุกย่อหน้าที่ต้องการ
2. คลิกปุ่ม Bullets (สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย)
§ ถ้าคลิกซ้ำจะเป็นการยกเลิก
3. คลิกลากเมาส์ให้คลุมย่อหน้าที่จะใส่บุลเลต
4. คลิกปุ่ม Numbering (ลำดับเลข)
ปรับแต่งเลขลำดับ
1. คลิกย่อหน้าที่จะสร้างเลขลำดับหรือปรับแต่งเลขลำดับ
2. คลิกขวาแล้วเลือก Bullets and Numbering (สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยและลำดับเลข)
3. คลิกแท็บ Numbered (ลำดับเลข)
4. เลือกรูปแบบเลขลำดับที่ต้องการ ถ้าจะไม่แก้ไขอะไรอีก คลิกปุ่ม OK
5. คลิกปุ่ม Customize เพื่อกำหนดค่าเพิ่มเติม
6. เลือกรูปแบบของเลขลำดับที่ช่อง Number Style
7. กำหนดค่าเริ่มต้นของเลขลำดับในช่อง Start at
8. ระบุตำแหน่งของเลขลำดับในส่วน Number Position ใช้กำหนดว่าเลขลำดับจะอยู่ชิดด้านใด
9. ที่ช่อง Tab space after (ระยะแท็บหลังจาก) ใช้กำหนดตำแหน่งของข้อความในบรรทัดหลังเลขลำดับให้ห่างออกมาจนถึงระยะเท่าไหร่จากกั้นหน้า
10. คลิกปุ่ม OK
ปรับแต่บุลเลต
1. คลิกเมาส์ในย่อหน้าจะปรับแต่งบุลเลต หรือเลือกย่อหน้าที่ต้องการ
2. คลิกขวาแล้วเลือก Bullets and Numbering สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยและลำดับเลข)
3. คลิกแท็บ Bulleted (สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย)
4. คลิกเลือกรูปแบบของบุลเลตที่ต้องการ
5. คลิกปุ่ม customize เพื่อปรับแต่งรูปแบบเพิ่มเติม
6. เลือกรูปแบบในส่วน Bullet Character
§ คลิกปุ่ม Character เพื่อเลือกสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ
7. กำหนดตำแหน่งของบุลเลตในช่อง Indent at (เยื้องที่)
8. กำหนดระยะห่างจากกั้นหน้าของข้อความในบรรทัดแรกหลังบุลเลต ในช่อง Tab Space After และกำหนดตำแหน่งของข้อความในบรรทัดถัดไปที่ช่อง Indent at ปกติจะกำหนดค่าทั้งสองเท่ากัน เพื่อให้ข้อความเริ่มในแนวเดียวกัน
9. คลิกปุ่ม OK
บุลเลตแบบรูปภาพ
1. ทำตามขั้นตอนที่ 1 ถึง 5 ในหัวข้อ “ปรับแต่งบุลเลต” ที่ผ่านมา
2. คลิกปุ่ม Picture เพื่อเลือกรูปภาพมาเป็นบุลเลต
3. คลิกเลือกรูปภาพบุลเลตที่จะใช้
4. คลิกปุ่ม OK
ก็อบปี้รูปแบบด้วย Format Painter
ถ้าจะให้ข้อความหรือย่อหน้าอื่นมีหน้าตาแบบเดียวกับข้อความหรือย่อหน้าที่ตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เช่น แบบข้อความ สีพื้น เส้นขอบ หรือการจัดย่อหน้า ให้ใช้ปุ่ม Format Painter (ตัวคัดวางรูปแบบ) เพื่อช่วยก็อบปี้รูปแบบของข้อความหรือย่อหน้านั้น
ก็อบปี้รูปแบบของข้อความ
1. เลือกข้อความที่จะก็อบปี้รูปแบบ
2. คลิกปุ่ม Format Painter เมาส์จะเปลี่ยนรูปเป็น
3. คลิกลากเมาส์ให้คลุมข้อความที่จะเปลี่ยนรูปแบบตามต้นแบบข้อ 1
ขอบกระดาษ (Margin)
ขอบกระดาษ คือ ระยะห่างจากข้อความในหน้ากระดาษกับริมของหน้ากระดาษทั้ง 4 ด้าน ปกติ Word จะกำหนดขนาดขอบกระดาษมาให้แล้ว แต่ถ้าจะใส่ชื่อของเอกสารที่หัวกระดาษก็อาจตอ้งปรับขนาดขอบกระดาษด้านบนให้กว้างขึ้นเพื่อความสวยงาม ขั้นตอนการกำหนดขอบกระดาษมีดังนี้
2. ที่แท็บ Margin ใส่ระยะที่ให้ข้อความห่างจากริมกระดาษในช่อง Left (ซ้าย), Right (ขวา), Top (บน), Bottom (ล่าง)
3. ระบุค่าในช่อง Gutter (เย็บกระดาษ) ซึ่งเป็นการกำหนดการเว้นระยะเผื่อไว้สำหรับการเข้าเล่มหนังสือ
4. เลือกแนวการวางกระดาษ Portrait (แนวตั้ง) หรือ Landscape (แนวนอน)
5. ในช่อง Multiple Pages ให้กำหนดลักษณะของเอกสารที่จะสร้าง ปกติกำหนดให้เป็น Normal
6. ระบุให้การกำหนดค่าครั้งนี้มีผลต่อเอกสารส่วนใดในช่อง Apply to : (นำไปใช้กับ )
§ Whole document (ทั้งเอกสาร) ให้มีผลต่อเอกสารทุกหน้า
§ This Point Forward (จุดนี้เป็นต้นไป) ตั้งแต่จุดที่เคอร์เซอร์อยู่เป็นต้นไป
7. คลิกปุ่ม OK
ตั้งขนาดกระดาษ (Paper Size)
2. คลิกแท็บ Paper
3. ระบุขนาดกระดาษในช่อง Paper Size
§ ถ้าเลือก Custom ขนาดกระดาษ จะเท่ากับที่ระบุในช่อง Width (ความกว้าง) และ
Height(ความสูง) ที่อยู่ถัดลงมา
4. กรณีที่พรินเตอร์มีหลายถาดกระดาษ สามารถเลือกให้หน้าแรกดึงกระดาษจากถาดใดก็ได้ในช่อง First Page ส่วนหน้าอื่น ๆ ก็ระบุในช่อง Other pages ปกติมักกำหนดไว้ที่ Automatically Select (ถาดเริ่มต้น)
5. ระบุให้การกำหนดค่าครั้งนี้มีผลต่อเอกสารส่วนใดในช่อง Apply to :
§ This point forward (จุดนี้เป็นต้นไป) เฉพาะตำแหน่งที่เคอร์เซอร์อยู่เป็นต้นไป
§ Whole document (ทั้งเอกสาร) ให้มีผลต่อเอกสารทุกหน้า
6. คลิกปุ่ม OK
ขึ้นหน้าใหม่และยกเลิก
ปกติเมื่อข้อความยาวเกินหน้ากระดาษ Word จะขึ้นหน้าใหม่ให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องขึ้นหน้าใหม่ เพราะต้องการขึ้นเรื่องใหม่หรือขึ้นบทใหม่ ทำได้ดังนี้
1. คลิกเมาส์ในตำแหน่งที่ต้องการขึ้นหน้าใหม่
3. คลิกเลือกออปชั่น Page break
4. คลิกปุ่ม ok ข้อความจากจุดที่เลือกในข้อ 1 จะเลื่อนไปแสดงหน้าใหม่ สำหรับออปชั่นอื่นได้แก่
§ Break types (ชนิดตัวแบ่งส่วน)
§ Page break (ตัวแบ่งหน้า)
§ Column break (ตัวแบ่งคอลัมน์) ให้ตำแหน่งที่เลือกไปเริ้มที่คอลัมน์ใหม่ ใช้สำหรับ
เอกสารที่แบ่งออกเป็นหลายคอลัมน์
§ Text wrapping break (ตัวแบ่งการตัดข้อความ) เริ่มต้นบรรทัดใหม่โดยยังอยู่ในย่อหน้า
เดิม เหมือนกดปุ่ม <shift> + <Enter>
§ Section break types (ชนิดตัวแบ่งส่วน) มีการแบ่งเอกสารออกเป็นส่วน เพื่อให้สามารถ
จัดรูปแบบของเอกสารแต่ละส่วนให้แตกต่างกันออกไปได้ เช่น กำหนดขอบเขตของแต่ละหน้า ไม่เหมือนกัน , มีการวางแนวกระดาษทั้งแนวตั้งและขวางทั้งสองแบบในเอกสารเดียวกัน , ใส่ข้อความหัว-ท้ายกระดาษให้แตกต่างกัน , เริ่มต้นนับหน้าใหม่ เป็นต้น
§ Next page (หน้าถัดไป) ส่วนที่ถูกแบ่งใหม่จะเริ่มต้นที่หน้าถัดไป
§ Continuous (ต่อเนื่อง) ส่วนที่แบ่งใหม่ยังคงอยู่ในหน้าเดิม แต่ถัดไปจากส่วนเดิม
เหมือนปกติ
§ Even page (หน้าคู่) ส่วนที่แบ่งใหม่จะเริ่มต้นที่หน้าคู่ที่อยู่ถัดไป
§ Odd page (หน้าคี่) ส่วนที่แบ่งหม่จะเริ่มต้นที่หน้าคี่ที่อยู่ถัดไป
การยกเลิกการขึ้นหน้าใหม่ทำได้ 2 วิธี แล้วแต่ว่าแสดงหน้าจอในแบบใด
§ มุมมองแบบ Print Layout (เค้าโครงเหมือนพิมพ์) ให้คลิกเมาส์ที่ตำแหน่งแรกของหน้า
ใหม่ แล้วกดปุ่ม (Backspace) แทนส่วนการขึ้นหน้าใหม่ที่ Word ซึ่งเห็นเป็นเพียงจุดไข่ปลาและไม่มีคำใด ๆ กำกับอยู่ จะลบเองไม่ได้
§ มุมมองแบบ Normal (ปกติ) จะเห็นเส้นจุดไข่ปลามีคำว่า “Page Break (ตัวแบ่งหน้า)
อยู่ด้วยให้คลิกเมาส์ที่เส้นนั้นแล้วกดปุ่ม Delete
แบ่งคอลัมน์ในเอกสาร (รูปแบบคล้ายหนังสือพิมพ์)
คอลัมน์ใน Word โดยปกติคือ 1 คอลัมน์ เราสามารถแบ่งเอกสารให้มีหลายคอลัมน์เหมือนกับหนังสือพิมพ์ได้ โดยอาจเลือกแบ่งเฉพาะส่วนหนึ่งทั้งเอกสารก็ได้ เพื่อทำเป็นโบรชัวร์ แผ่นพับหรือใบปลิว เพื่อเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร หรือการแนะนำสินค้าได้ดังนี้
1. คลิกปุ่ม Print Layout View
2. เลือกย่อหน้าที่จะจัดเป็นคอลัมน์ ถ้าไม่เลือกก็จะเป็นการแบ่งคอลัมน์ของทั้งเอกสาร
3. คลิกปุ่ม Column
4. คลิกเมาส์ให้ได้จำนวนคอลัมน์ที่ต้องการ ถ้าเลือก 1 คอลัมน์ จะยกเลิกการจัดคอลัมน์
ขยายตัวอักษรแรกของย่อหน้า (Drop Cap)
ในบางเอกสารบางประเภท อาจเห็นว่ามีการทำให้ตัวอักษรตัวแรกของย่อหน้าเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า Drop Cap เพื่อเป็นการสร้างองค์ประกอบให้เป็นจุดนำเพื่อดึงดูดความสนใจ
1. แสดงเอกสารในมุมมอง Print Layout View
2. คลิกเมาส์บนย่อหน้าที่จะทำตัวอักษรใหญ่
4. กำหนดรูปแบบว่าต้องการให้เป็นแบบ Dropped (หล่น) หรือ In margin (ในขอบ)
§ เลือก None ถ้าต้องการยกเลิก
§ กำหนดฟอนต์สำหรับตัวอักษรตัวแรก ในช่อง Font
5. กำหนดความสูงเป็นจำนวนเท่าของบรรทัดปกติในช่อง Lines to drop (จำนวนบรรทัดที่จะหล่น)
6. กำหนดระยะห่างจากข้อความด้านหลังในช่อง Distance form text (ระยะห่างจากข้อความ)
7. คลิกปุ่ม OKแบบฝึกหัดท้ายบท
1. ข้อใดมิใช่การจัดรูปแบบตัวอักษร
ก. การเลือกชนิดของฟอนต์
ข. การกำหนดขนาดของฟอนต์
ค. การปรับระยะห่างระหว่างตัวอักษร
ง. การจัดระยะกั้นหน้า
2. ข้อใดมิใช่การเรียกใช้ไดอะล็อกบ็อกซ์ Font
ก. กดปุ่ม <Ctrl>+ D
ข. คลิกเมาส์ขวาเพื่อเรียกใช้เมนูลัดและเลือกคำสั่ง Font
ค. กดปุ่ม <shift>+ F9
3. ค่าเริ่มต้น (Default) ของฟอนต์ เมื่อสร้างเอกสารใหม่โดยใช้เทมเพลตปกติ คือ
ก. Times New Roman
ข. Cordia UPC
ค. Angsana UPC
ง. Browallia UPC
4. เราสามารถเรียกใช้งานฟอนต์ตัวอักษรที่เราเคยเรียกใช้งานครั้งล่าสุดเป็นจำนวนเท่าใด
ก. 3 ฟอนต์
ข. 4 ฟอนต์
ค. 6 ฟอนต์
ง. 8 ฟอนต์
5. การเปลี่ยนฟอนต์ตัวอักษรที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด ทำได้โดย
ก. ใช้คำสั่งลัด (Shortcut Keys)
ข. ใช้ไดอะล็อกบ็อกซ์ Font
ค. คลิกที่ลิสต์บ็อกซ์
ง. ใช้แป้นพิมพ์โดยกดปุ่ม <Alt> + F
6. ข้อใดมิใช่การทำตัวขีดเส้นใต้ในโปรแกรม Word 2003
ก. ขีดเส้นใต้คำเท่านั้น
ข. ขีดเส้นใต้แบบ 2 จุดสลับจุดไข่ปลา
ค. ขีดเส้นใต้แบบเส้นคู่
ง. ขีดเส้นใต้แบบจุด
7. การสร้างตัวอักษรแรกปล่อย (Drop Cap) นิยมใช้ในงานทางด้านใด
ก. รายงานทางวิชาการ
ข. จดหมายต่าง ๆ
ค. วารสารหรือนิตยสาร
ง. ถูกทุกข้อ
8. คำสั่งลัด (shortcut keys) ที่ใช้ในการกำหนดตัวหนาเอียง คือ
ก. <Ctrl> + B และ <Ctrl> + 1
ข. <Ctrl> + U และ <Ctrl> + 1
ค. <Ctrl> + <Shift> + W
ง. <Ctrl> + <Shift> + D
9. ถ้าต้องการกำหนดสีของตัวอักษรต้องเลือกไอคอนใด
ก. Font Color
ข. Line Color
ค. Highlight
ง. Fill Color
10. คำสั่งในข้อใดมีความหมายเหมือนกับการกดปุ่ม <Ctrl> + C
ก. Copy
ข. Cut
ค. Paste